THAI REAL ESTATE
BUSINESS SCHOOL
Eng
Thai
หลักการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อ 5C กู้ง่าย ได้ไว
ดูทั้งหมด Post: 29 ตุลาคม 2020
Share via
   
หลักการวิเคราะห์สินเชื่อ 5C
 
โรงเรียนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาสำหรับนานาชาติ จะเปิดหลักสูตรใหม่เรื่องการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อ เรามาศึกษาถึงหลักการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อแบบ “5C”กันก่อน
 
ดร.โสภณ พรโชคชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนธุรกิจอสังหาริมรัพย์ไทย (www.trebs.ac.th) มีแผนกำลังจะเปิดหลักสูตรใหม่ ภายใต้ชื่อ“การวิเคราะห์สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์” จึงขอเสนอหลักการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อ 5C โดยการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อเป็นส่วนหนึ่ง ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง โดยใช้หลัก 5C ได้แก่ Character , Capital, Capacity, Collateral และ Condition ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
 
 
1. Character: ผู้กู้
 
ลูกค้าที่มาขอกู้เงินควรเป็นคนซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือ มีความตั้งใจจริง และมีฐานะทางด้านการเงินดีพอ นอกจากนี้ต้องเป็นคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง ในการการขอสินเชื่อหรือการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อผู้กู้ จากขนาดธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และบริษัทขนาดใหญ่ก็อาจจะแตกต่างกันไป ธุรกิจขนาดเล็กกว่าอาจมีความเสี่ยงมากกว่า ขณะเดียวกันธุรกิจขนาดใหญ่ก็อาจมีความซับซ้อนทำให้การวิเคราะห์ยากอาจจะมีการวิเคราะห์คลาดเคลื่อนกับความเป็นจริง
 
 
 
2. Capital: เงินลงทุน
 
เงินลงทุนที่เพียงพอของผู้กู้ จะทำให้สถาบันการเงินมั่นใจมากขึ้น ดังนั้น ในการวิเคราะห์จึงมุ่งไปที่เงินทุนของตนเอง ยิ่งลงทุนในจำนวนที่มากพอ จะไม่ทำให้ธนาคารเสี่ยงมากขึ้นประเด็นนี้จึงให้ความสำคัญแก่การวิเคราะห์สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ของโครงการ ตามที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ 
ในเรื่องรายละเอียดของสัดส่วนหนี้สินต่อทุนนั้น ผู้ประกอบการต้องการให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูงด้วยเพราะจะได้มีเงินเพียงพอไม่ขาดมือ มีความน่าเชื่อถือที่มีเงินหมุนเวียนสูง ยังทำให้ใช้เงินตัวเองน้อยลง ส่งความเสี่ยงไปที่สถาบันการเงินเป็นหลัก แต่ข้อเสียก็คืออาจมีการนำเงินไปใช้ผิดประเภท หรือ ทำให้ผู้กู้ประมาทได้
แต่สถาบันการเงิน จะให้ความสำคัญกับการที่มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ เพราะเป็นการลดความเสี่ยงของตัวเองและยังทำให้มีเงินทุนเพียงพอสำหรับผู้กู้รายอื่นๆมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือผู้ประกอบการอาจไม่มาขอใช้บริการเพราะสถาบันการเงินแห่งนั้นอาจป้องกันความเสี่ยงจนสูงเกินไป และไม่ดึงดูดความสนใจในการขอใช้บริการของผู้ประกอบการ
 
 
3. Capacity: ความสามารถในการชำระหนี้
 
การขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อในส่วนนี้ ว่าโครงการนั้นต้องมีกำไรและอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่าต้นทุนของทุน (Cost of Capital) ของโครงการ และต้องมีกระแสเงินสดมากพอที่จะชำระหนี้คืนธนาคารได้ตามเงื่อนไข  ดังนั้น ในการวิเคราะห์ทางการเงินจึงต้องแสดงผลของการวิเคราะห์อัตราผลตอบแทน และการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน ฯลฯ เพื่อให้เห็นความสามารถในการชำระหนี้ได้อย่างเหมาะสม  การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด (Cash Flow Analysis)  จึงต้องดำเนินการอย่างรัดกุม

4. Collateral: หลักประกันการให้กู้ยืม

 
ในกรณีอสังหาริมทรัพย์นี้ ส่วนมากจะหมายถึงที่ดินโครงการ และที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่ผู้บริหารหรือเจ้าของโครงการนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน มูลค่าของหลักประกันที่เพียงพอจะเป็นตัวประกันความเสี่ยงของสถาบันการเงินโดยตรง สำหรับในรายละเอียดการที่สถาบันการเงินจะบริหารหรือลดความเสี่ยงในการให้สินเชื่อได้นั้น ขึ้นกับปริมาณและคุณภาพของข้อมูลที่ต้องใช้ในการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อ เช่น รายงานการประเมินค่าทรัพย์สินที่ประเมินผิดพลาด จนได้ราคาสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
 
 
5. Conditions: ปัจจัยภายนอกต่างๆ
 
กรณีนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับการเงินโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพทางด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม ปัญหาสงคราม และสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่มีผลกระทบต่อความเป็นไปได้ของโครงการลงทุน โดยเฉพาะในปัจจุบัน เรื่องสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากต่อการลงทุน ผู้ประกอบการรวมทั้งสถาบันการเงินต้องศึกษาให้ดี จะได้ไม่เกิดความเสี่ยงที่สูงเกินไปจนไม่สามารถพัฒนาโครงการได้
 
หากเรารู้จักการการขอสินเชื่อหรือการวิเคราะห์สินเชื่อตามหลักทั้ง 5 นี้แล้ว เราก็จะสามารถให้สินเชื่อได้อย่างเหมาะสม ไม่เกิดปัญหาหนี้เสียในภายหลังที่จะกระทบถึงความมั่นคงของสถาบันการเงิน
 
 
และหากสถาบันการเงินหรือหน่วยงานใดสนใจอบรมหลักสูตร “การวิเคราะห์สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์” สามารถติดต่อสอบถามรรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่